หุ้น B คืออาไรล่ะเนี๊ย เกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงแล้ว หุ้น B ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ หุ้น B เป็นหุ้นที่บริษัทเป็นผู้ออก เช่นเดียวกับหุ้นตัวอื่นๆมีข้อแตกต่างตรงที่ราคาหุ้นที่ระบุในใบหุ้นต่ำกว่าราคาหุ้นที่ระบุไว้ในใบหุ้น A แต่มีสิทธิ์ออกเสียงเท่ากัน เช่นหุ้นBที่ออกโดยบริษัทXXX มีราคาหุ้นที่ในใบหุ้นเพียง20 บาทขณะที่หุ้นเดิมมีราคาที่ระบุไว้ในใบหุ้น 2 บาท กล่าวคือราคาหุ้นที่ระบุไว้ในใบหุ้นB เท่ากับ 1/10ของราคาที่ระบุไว้ในใบหุ้น Aแต่ผู้ถือหุ้น B กลับมีสิทธิ์ออกเสียงเท่าเทียมกับผู้ถือหุ้นA
จุดนี้เองที่ขัดกับหลักความยุติธรรมในแง่ที่ว่า “ใครออกเงินมาก ย่อมต้องได้สิทธิ์มากกว่า” นี่คือเหตุที่การออกหุ้นBไม่เป็นที่นิยม นักลงทุนบางส่วนมีความเข้าใจว่า บริษัทจดทะเบียนที่ต้องการออกหุ้นB นั้น วัตถุประสงค์สำคัญคือให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ถอนเงินทุนออกไป แต่ก็ยังคงรักษาอำนาจสิทธิ์ขาดที่จะมีบริษัทไว้ได้ต่อไป เมื่อราคาที่ระบุบนใบหุ้นB มีมูลค่าต่ำ หากคำนวณตามราคาตลาดแล้วก็ยิ่งต่ำมาก ตัวอย่างเช่น เมื่อมูลค่าหุ้นB ต่ำกว่าหุ้นA แต่มีสิทธิ์ออกเสียงเท่ากันเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาไม่เพียงมีโอกาสที่จะชักทุนคืนได้เท่านั้น จำนวนหุ้นที่ถืออยู่ในมือยังคงมีเท่าเดิมด้วย ในกรณีของบริษัทXXX ผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทขายหุ้นA ไป1 หุ้น แล้วซื้อหุ้นB กลับเข้ามา 1หุ้น จำนวนเงินที่จ่ายจริงเป็นเพียง 1/10 ของหุ้นเดิม แต่ยังรักษาสิทธิ์และอำนาจภายในของบริษัทไว้ ขณะเดียวกันก็ยังสามารถโยกย้ายเงินทุน 9/10 ออกไปใช้ประโยชน์อื่นๆยิ่งกว่านั้น เมื่อผู้ถือหุ้นใหญ่เห็นว่าการลงทุนในบริษัทมีเพียงจำนวนเล็กน้อยก็ไม่จำเป็นต้องห่วงหน้าห่วงหลัง สามารถผลักดันให้บริษัทดำเนินธุรกิจที่มีความเสียงสูง หรือทำการโยกย้ายเงิน ซึ่งจะทำความเสียหายทางอ้อมให้กับผู้ถือหุ้นรายย่อย
แต่ผู้รับผิดชอบของบริษัทของบริษัทที่ออกหุ้นB ก็สามารถอธิบายเหตุผลในการออกหุ้น B ได้เช่นกัน คือเมื่อบริษัทแห่งหนึ่งขยายกิจการที่ต้องรับซื้อช่วงทรัพย์สินใช้แล้วของบริษัทนั้นๆด้วย มักนิยมออกหุ้นใหม่ขายให้กับเจ้าของเดิม โดยไม่มีการซื้อขายเงินสด การที่ผู้ขายทรัพย์สินรับเอาหุ้นของบริษัทที่ชื่อเสียงดีย่อมมีค่าในตัวเอง และหากกิจการของบริษัทดังกล่าวรุ่งเรือง หุ้นเหล่านั้นก็จะมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นได้ ผู้ขายทรัพย์สินยังสามารถอาศัยการเป็นผู้ถือหุ้น เข้าร่วมโครงการลงทุนของบริษัทนั้นๆได้ต่อไป
บริษัทหนึ่งออกหุ้นให้กับผู้อื่น เพื่อแลกกับทรัพย์สินของผู้นั้น โดยไม่ต้องจ่ายเป็นเงินสดเท่ากับจับเสือมือเปล่า แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อบริษัทของผู้ซื้อนี้ต้องออกหุ้นเพิ่มย่อมมีผลให้หุ้นของบริษัทมีจำนวนเพิ่มขึ้น สมมุติว่าเดิมบริษัทนั้นมีหุ้น 100 ล้านหุ้น ผู้ถือหุ้นใหญ่ถือไว้ 40ล้านหุ้น เท่ากับมีสิทธิ์ออกเสียง 40% ของเสียงทั้งหมด เมื่อบริษัทออกหุ้นใหม่เพิ่มเป็น 120ล้านหุ้น ผู้ถือหุ้นใหญ่ยังคงถือเท่าเดิมคือ 40ล้านหุ้น ก็เท่ามีสิทธิมีเสียงเหลือแค่เพียง 30% ของเสียงทั้งหมด ดังนั้นเพื่อป้องกันอำนาจสิทธิ์ขาดต้องถูกบั่นทอนไป ผู้ถือหุ้นใหญ่รายนี้จำเป็นต้องซื้อหุ้นเพิ่มอีก 8 ล้านหุ้น เพื่อคงสิทธิ์ออกเสียงไว้ให้เท่ากับ 40% เช่นเดิม นับเป็นการลงทุนที่เพิ่มจำนวนไม่น้อยทีเดียว อีกด้านหนึ่งหากเขาไม่ยอมซื้อหุ้นเพิ่ม ก็อาจมีบริษัทอื่นหรือผู้ถือหุ้นอื่นแซงขึ้นมากลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทได้ในภายหลัง ซึ่งจะทำให้สิทธิ์และอำนาจการควบคุมบริษัทเปลี่ยนไปอยู่ในมือของคนอื่นได้
ฉะนั้น การออกหุ้น B ในจำนวนจำกัด นับว่าเป็นวิธีประนีประนอมวิธีหนึ่ง คือผู้ถือหุ้นใหญ่สามารถคงไว้ซึ่งอำนาจสิทธิ์ขาดในบริษัทเป็นผู้ควบคุม และกำหนดทิศทางของบริษัทได้อีกต่อไป อีกทั้งการออกหุ้น Bในจำนวนจำกัด ก็เท่ากับปิดโอกาสมิให้คนอื่นเข้ามากว้านซื้อหุ้น จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ได้
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น